หลักการพื้นฐานขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการดำเนินโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในคดีอาญา
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญา มีจุดมุ่งหมายให้เกิดความสมานฉันท์แก่คู่ความทุกฝ่าย แตกต่างไปจากกระบวนการยุติธรรมทางอาญากระแสหลัก (Main Stream Criminal Justice) หรือกระบวนการยุติธรรมทางอาญาปกติ ที่มุ่งเน้นเพียงเพื่อการลงโทษผู้กระทำความผิดเท่านั้น การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาจึงมีลักษณะที่แตกต่างจากกระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก หน่วยงานที่สำคัญที่ดำเนินเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ คณะกรรมาธิการว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและกระบวนการยุติธรรมแห่งชาติ (UN Commission on Crime Prevention and Criminal Justice) ได้ผลักดันแนวคิดดังกล่าวเพื่อให้เกิดแนวทางในการนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ในทิศทางเดียวกัน ดังเห็นได้จากการมีประชุมและมีมติเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายๆครั้ง เช่น มติที่ประชุมที่ 1999/26 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1999 เรื่อง “การพัฒนาและการดำเนินการเกี่ยวกับประนอมข้อพิพาทและมาตรการทางกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในกระบวนการยุติธรรม” มติที่ประชุมสหประชาชาติ ที่ 2000/14 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม2000 เรื่อง “หลักการพื้นฐานว่าด้วยการดำเนินโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในคดีอาญา” อีกทั้งมติที่ประชุมสมัชชาทั่วไปที่ 56/261 ลงวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2002 เรื่อง “แผนปฏิบัติการสำหรับการดำเนินการตามปฏิญญากรุงเวียนนาว่าด้วยอาชญากรรมและกระบวนการยุติธรรม : การประสบเรื่องท้าทายในศตวรรษที่ 21” เป็นต้น จากมติที่ประชุมสหประชาชาติ (UN) ดังกล่าวข้างต้นนี้ได้กลายมาเป็น หลักการพื้นฐานขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยหลักการพื้นฐานว่าด้วยการดำเนินโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในคดีอาญา ปี ค.ศ. 2002 ซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญ ดังนี้
คำนำของหลักการพื้นฐานว่าด้วยการดำเนินโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในคดีอาญา
คำนำว่าด้วยหลักการพื้นฐานว่าด้วยการดำเนินโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในคดีอาญาได้กล่าวถึงการเรียกร้องให้มีความก้าวหน้าและแพร่หลายของการริเริ่มกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ คือ
1. “ระลึกว่า” การริเริ่มดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงรูปแบบความยุติธรรมตามประเพณีและความเป็นมาดั้งเดิม ซึ่งถือว่าอาชญากรรมได้ก่อความเสียหายโดยทั่วไปต่อประชาชน
2. “เน้นว่า” กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์เป็นการตอบสนองในทางปรับเปลี่ยนต่ออาชญากรรมโดยเคารพในศักดิ์ศรีและความเสมอภาคของแต่ละบุคคล สร้างความเข้าใจและส่งเสริมการปรองดองทางสังคม ผ่านการฟื้นฟูเยียวยาผู้เสียหาย ผู้กระทำความผิดและชุมชน
3. “ย้ำว่า” รูปแบบนี้จะทำให้ผู้ซึ่งได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมนั้นสามารถ ที่จะเปิดเผยความรู้สึกและประสบการณ์ของผู้นั้น โดยมุ่งให้มีการรับรู้ถึงความต้องการของผู้นั้น
4. “ตระหนักว่า” รูปแบบนี้ได้ให้โอกาสแก่ผู้เสียหายที่จะได้รับการชดใช้เยียวยา มีความรู้สึกปลอดภัยและแสวงหาข้อยุติ อนุญาตให้ผู้กระทำความผิดได้สำนึกในเหตุและผลของพฤติกรรมของตนและแสดงความรับผิดชอบด้วยวิธีการที่มีความหมาย ตลอดจนทำให้ชุมชนสามารถเข้าใจถึงสาเหตุสำคัญของอาชญากรรม เพื่อที่จะส่งเสริมสวัสดิภาพของชุมชนและเพื่อป้องกันอาชญากรรม
5.“บันทึกว่า” กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ได้ให้ได้กำเนิดมาตรการต่างๆ ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการประยุกต์ใช้ในระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และเป็นส่วนสนับสนุนระบบดังกล่าว โดยคำนึงถึงพฤติการณ์ในทางกฎหมาย สังคมและวัฒนธรรม
6.“ระลึกว่า” การใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มิได้กระทบกระเทือนต่อสิทธิของรัฐในการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อผู้ถูกล่าวหาว่ากระทำความผิดนั้น
คำจำกัดความของหลักการพื้นฐานว่าด้วยการดำเนินโครงการกระบวนการ ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในคดีอาญา
หลักการพื้นฐานว่าด้วยการดำเนินโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในคดีอาญาได้ให้คำจำกัดความไว้ดังนี้
1.“โครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์” หมายถึง โครงการใดๆซึ่งใช้วิธีการเชิงสมานฉันท์หรือแสวงหาทางที่จะให้บรรลุในทางสมานฉันท์
2.“วิธีการเชิงสมานฉันท์” หมายถึง วิธีการใดๆซึ่งผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดและในกรณีที่เหมาะสม อาจรวมถึงบุคคลอื่นๆหรือสมาชิกคนอื่นๆของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมนั้น ได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยกันในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากอาชญากรรม ซึ่งโดยทั่วไปอาจมีการช่วยเหลือโดยผู้ช่วยเหลือ วิธีการเชิงสมานฉันท์อาจได้แก่ การไกล่เกลี่ย การประนอมข้อพิพาท การประชุมกลุ่มและการพิพากษาโดยการประชุมล้อมวง
3.“ผลในทางสมานฉันท์” หมายถึง ข้อตกลงที่บรรลุของวิธีการเชิงสมานฉันท์ ผลในทางสมานฉันท์ รวมถึงการตอบสนองและรายการซึ่งได้แก่ การฟื้นฟูเยียวยา การแก้ไขความเสียหายและการทำงานบริการสังคม ซึ่งมุ่งหมายให้บรรลุถึงความต้องการและความรับผิดชอบของบุคคลและโดยรวมของคู่กรณี และเพื่อให้ผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดได้กลับคืนมามีความสัมพันธ์ใหม่ที่ดีต่อกัน
4. “คู่กรณี” หมายถึง ผู้เสียหาย ผู้กระทำความผิดและบุคคลอื่นๆหรือสมาชิกคนอื่นๆของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรม ซึ่งอาจมีส่วนร่วมในโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์นั้น
5. “ผู้ช่วยเหลือ” หมายถึงบุคคลที่มีความยุติธรรมและเป็นกลางซึ่งมีบทบาทในการช่วยเหลือสนับสนุนการมีส่วนร่วมของคู่กรณีในการเข้าสู่วิธีการเชิงสมานฉันท์
การดำเนินการของหลักการพื้นฐานว่าด้วยการดำเนินโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในคดีอาญา
หลักการพื้นฐานว่าด้วยการดำเนินโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในคดีอาญาได้อธิบายการดำเนินโครงการกระบวนยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ดังกล่าว ดังนี้
1. โครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์อาจมีได้ในขั้นตอนต่างๆของระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ภายใต้กฎหมายของประเทศนั้น
2. วิธีการเชิงสมานฉันท์ควรใช้เฉพาะกรณีที่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินการกับผู้กระทำความผิด และได้รับความยินยอมโดยอิสระและสมัครใจจากผู้เสียหายและผู้กระทำความผิด ผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดควรที่จะสามารถยกเลิกเพิกถอนความยินยอมดังกล่าวในเวลาใดๆก็ได้ในระหว่างการใช้วิธีการเชิงสมานฉันท์นั้น ข้อตกลงควรเป็นไปโดยความสมัครใจและประกอบภาระหน้าที่ที่ชอบด้วยเหตุผลและพอเหมาะพอดีเท่านั้น
3. ผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดควรตกลงกันได้เสียก่อนเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในคดีนั้น โดยถือเป็นพื้นฐานของการร่วมในวิธีการเชิงสมานฉันท์ การเข้าร่วมของผู้กระทำความผิดไม่ควรถูกใช้เป็นพยานหลักฐานสำหรับการดำเนินคดีตามกฎหมายภายหลังว่าได้มีการยอมรับความผิดแล้ว
4. ความไม่เท่าเทียมกันอันนำไปสู่อำนาจต่อรองที่ไม่เท่ากัน ตลอดจนข้อแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างคู่กรณี ควรเป็นข้อที่นำมาพิจารณาในการจัดให้คดีนั้นมีการเชิงสมานฉันท์และในการดำเนินการตามวิธีการเชิงสมานฉันท์นั้น
5. ความปลอดภัยของคู่กรณี ควรได้รับการพิจารณา ในการจัดให้คดีนั้นมีการใช้วิธีการเชิงสมานฉันท์และในการดำเนินการตามวิธีเชิงสมานฉันท์นั้น
6. ในกรณีที่วิธีเชิงสมานฉันท์เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรือไม่เหมาะสม คดีนั้นควรให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาดำเนินการต่อไป และการตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรนั้นควรเป็นโดยไม่ชักช้า ในกรณีเช่นนี้เจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาควรใช้ความพยายามที่จะสนับสนุนให้ผู้กระทำความผิดได้แสดงความรับผิดชอบที่มีต่อผู้เสียหายและต่อชุมชนที่ได้รับผลกระทบ และสนับสนุนให้ผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดสามารถที่จะกลับคืนไปใช้ชีวิตในชุมชนได้อย่างปกติสุข
การจัดการของหลักการพื้นฐานว่าด้วยการดำเนินโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในคดีอาญา
หลักการพื้นฐานว่าด้วยการดำเนินโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในคดีอาญา ได้กำหนดวิธีการการจัดการของโครงการดังกล่าว ดังนี้
1. ประเทศสมาชิกควรพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรฐานว่าด้วยกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ โดยทางนิติบัญญัติหากจำเป็น แนวทางและมาตรฐานดังกล่าวควรเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ได้กล่าวถึงในหลักการฉบับนี้และนอกเหนือประการอื่นๆแล้ว ควรระบุถึง
1) เงื่อนไข ซึ่งกำหนดลักษณะของคดีที่ดำเนินการโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ได้
2) การจัดการทางคดีหลังจากที่มีการใช้วิธีการเชิงสมานฉันท์แล้ว
3) คุณสมบัติ การฝึกอบรมและการประเมินผลผู้ช่วยเหลือ
4) การบริหารจัดการในโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์
5) มาตรฐานว่าด้วยอำนาจหน้าที่และกฎ ข้อบังคับเกี่ยวกับการปฏิบัติในการจัดการโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์
2. มาตรการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานในทางวิธีพิจารณาความซึ่งประกันความเป็นธรรมแก่ ผู้กระทำความผิดและผู้เสียหายนั้น ควรมีการนำมาใช้ในโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิธีการเชิงสมานฉันท์ กล่าวคือ
1) ภายใต้บังคับของกฎหมายของประเทศนั้น ผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดควรมีสิทธิที่จะได้รับคำปรึกษาแนะนำจากที่ปรึกษากฎหมายเกี่ยวกับการใช้วิธีการเชิงสมานฉันท์ และในกรณีที่จำเป็นควรจัดให้มีกล่าว/หรือการแปลความให้ นอกจากนี้ กรณีผู้เยาว์ควรมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองของตนด้วย
2) ก่อนที่จะมีการตกลงเข้าร่วมในวิธีเชิงสมานฉันท์ คู่กรณีควรได้รับการแจ้งให้ทราบถึงรายละเอียดของสิทธิคู่กรณี ลักษณะของวิธีการเชิงสมานฉันท์และผลที่จะเป็นไปได้จากการตัดสินใจของตนนั้น
3) ทั้งผู้เสียหายและผู้กระทำความผิด ไม่ควรถูกบังคับหรือชักจูงด้วยวิธีการอันไม่ชอบธรรมใดๆ เพื่อให้เข้าร่วมในวิธีเชิงสมานฉันท์หรือยอมรับผลในทางสมานฉันท์
3. การถกปัญหากันในระหว่างการใช้วิธีการเชิงสมานฉันท์ซึ่งมิได้กระทำในสาธารณะนั้น ควรเป็นความลับและไม่ควรที่จะมีการเปิดเผยในเวลาต่อมา เว้นแต่จะเป็นไปโดยข้อตกลงของคู่กรณีหรือโดยเป็นไปตามที่กฎหมายของประเทศนั้นกำหนด
4. ผลของข้อตกลงที่จัดทำขึ้นในโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ หากเป็นการสมควรควรมีการควบคุมทางศาลหรือรวมเข้าในคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาล ซึ่งในกรณีเช่นนี้ ผลในทางสมานฉันท์ควรมีสานะเช่นเดียวกับคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล และควรทำให้สิทธิในการฟ้องคดีอาญาในเรื่องเดียวกันนั้นเป็นอันระงับไป
5. ในกรณีที่คู่กรณีไม่อาจตกลงได้ คดีนั้นควรจะกลับเข้าสู่การดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาปกติ และควรมีการดำเนินการทางคดีต่อไปโดยไม่ชักช้า แต่ลำพังเพียงการที่คู่กรณีไม่สามารถตกลงกันได้นี้ไม่อาจนำมาเป็นข้อพิจารณาสำหรับการดำเนินคดีอาญาต่อไปนั้น
6. กรณีที่มีการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่จัดทำขึ้นในวิธีเชิงสมานฉันท์ เรื่องนั้นควรที่จะกลับเข้าสู่กระบวนการวิธีเชิงสมานฉันท์นั้นใหม่ หรือเข้าสู่การดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาปกติตามที่กฎหมายของประเทศนั้นกำหนด และควรมีการดำเนินการต่อไปโดยไม่ชักช้า ไม่ควรนำมาเป็นข้อพิจารณาสำหรับกำหนดโทษให้หนักขึ้นแก่ผู้กระทำความผิดในกรณีมีการดำเนินคดีอาญาต่อไปนั้น
7. ผู้ช่วยเหลือพึงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงธรรม โดยเคารพต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคู่กรณี ผู้ช่วยเหลือภายในขอบเขตความสามารถของตนนั้น พึงดำเนินการให้เป็นที่มั่นใจได้ว่า คู่กรณีได้ปฏิบัติด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และช่วยให้คู่กรณีสามารถพบกับทางออกของปัญหาที่เกี่ยวข้องในระหว่างคู่กรณีนั้น
8. ผู้ช่วยเหลือพึงมีความเข้าใจเป็นอย่างดีในวัฒนธรรมท้องถิ่นและชุมชน และในกรณีที่สมควรพึงได้รับการฝึกอบรมเบื้องต้นก่อนที่จะเข้าทำหน้าที่ในกรช่วยเหลือนั้น
การพัฒนาของหลักการพื้นฐานว่าด้วยการดำเนินโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในคดีอาญา
หลักการพื้นฐานว่าด้วยการดำเนินโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในคดีอาญา ได้กำหนดให้ประเทศสมาชิกดำเนินการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ดังนี้
1. ประเทศสมาชิกควรพิจารณากำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายระดับชาติโดยมุ่งหมายเพื่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์และเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์นั้น สำหรับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ศาลและองค์กรทางสังคมตลอดจนชุมชนท้องถิ่น
2. ควรมีการปรึกษาหารือกันเป็นประจำระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญากับผู้มีหน้าที่บริหารจัดการโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ เพื่อที่จะพัฒนาความเข้าใจทั่วไปและเพิ่มพูนประสิทธิผลของวิธีการเชิงสมานฉันท์และผลในทางสมานฉันท์ เพื่อที่จะขยายขอบเขตการดำเนินโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ และเพื่อที่จะแสวงหาหนทางที่จะทำให้รูปแบบเชิงสมานฉันท์เข้าไปสู่ในการปฏิบัติของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
3. ประเทศสมาชิกโดยความร่วมมือของประชาสังคมในกรณีที่เป็นการสมควร ควรส่งเสริมการศึกษาวิจัยและการประเมินผลโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ เพื่อประเมินผลว่าผลในทางสมานฉันท์อันเกิดจากการดำเนินการนั้นอยู่ในระดับใดและนำเสนอในเชิงบวกต่อคู่กรณีที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งหลาย วิธีการของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์อาจจำเป็นต้องมีการปรับปรุงรูปแบบเมื่อเวลาผ่านไป ประเทศสมาชิกจึงควรสนับสนุนให้มีการประเมินผลและปรับปรุงโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ดังกล่าวเป็นประจำ ผลของการศึกษาวิจัยและการประเมินผลนั้นควรชี้แนะแนวทางการพัฒนานโยบายและโครงการดังกล่าวต่อไปด้วย
จะเห็นได้ว่ากระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญา เป็นการระงับข้อพิพาททางอาญาชนิดหนึ่งที่มีจุดมุ่งหมายให้เกิดความสมานฉันท์แก่คู่ความทุกฝ่าย แตกต่างไปจากกระบวนการยุติธรรมทางอาญากระแสหลักที่มุ่งเน้นเพียงเพื่อการลงโทษผู้กระทำความผิดเท่านั้น องค์การสหประชาชาติได้ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวมาก ดังที่มีการประชุมหลายๆครั้ง จึงได้มีโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในคดีอาญาของสหประชาชาติขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตาม หลักการพื้นฐานว่าด้วยการดำเนินโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในคดีอาญาได้กำหนดข้อยกเว้นไว้ คือ หลักการพื้นฐานนี้มิได้กระทบกระเทือนต่อสิทธิใดๆของผู้กระทำความผิดหรือผู้เสียหาย ซึ่งได้กำหนดไว้ในกฎหมายของประเทศนั้นหรือในกฎหมายระหว่างประเทศที่มีผลใช้บังคับอยู่ ซึ่งประเทศต่างได้นำแนวคิดโครงการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาโดยเฉพาะมีใช้ในชั้นสอบสวนมีหลายประเทศด้วยกัน